








เป็นไงบ้างครับแต่ละคน พอใช้ได้ไหมละครับ แน่นอนครับ ใช้ได้แน่นอน
ลุงบุญมีระลึกชาติ (อังกฤษ: Uncle Boonmee Who Can Recall His Past Lives) เป็นภาพยนตร์ไทยนอกกระแส ออกฉายครั้งแรกในเทศกาลภาพยนตร์เมืองคานส์ เมื่อวันที่ 21 พฤษภาคม พ.ศ. 2553 กำกับโดยอภิชาติพงศ์ วีระเศรษฐกุล ซึ่งเป็นผลงานเรื่องที่ 6 ของเขา ภาพยนตร์ได้รับรางวัลปาล์มทองคำ จากงานเทศกาลภาพยนตร์เมืองคานส์ครั้งที่ 63 นับเป็นภาพยนตร์จากภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เรื่องแรกที่ ได้รับรางวัลนี้
ภาพยนตร์ได้ผู้ร่วมทุนเพิ่มจากสเปน (Seta) อังกฤษ (Illuminations Films) ฝรั่งเศส (Anna Sanders) และเยอรมนี (Fernsehproduction และ Match Factory) กับทุนสร้าง 1 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 35 ล้านบาท โดยบริษัทแมทช์แฟคตอรี่ จากกสเปนเป็นผู้จัดจำหน่ายระหว่างประเทศ และบริษัท ZDF และ Arte ถือลิขสิทธิ์ในเยอรมนี
ภาพยนตร์มีเรื่องราวเกี่ยวกับเรื่องเชิงเหนือจริง การนั่งสมาธิ สะกดจิต และระลึกชาติ โดยกล่าวถึงลุงบุญมีที่กำลังล้มป่วยด้วยอาการไตวาย บุญมีรู้ว่าตนเองจะมีชีวิตอยู่ได้ไม่ถึง 48 ชั่วโมง และเชื่อว่าความเจ็บป่วยที่เป็นอยู่อาจเกี่ยวกับกรรมที่เขาเคยฆ่าสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์ตายไปหลายราย เขาถูกภรรยาที่ตายไปมาหลอกหลอนในสภาพผู้บริบาลรักษา ลูกชายที่หายสาบสูญไปนานก็กลับมาจากป่าในสภาพที่คล้ายลิง เหตุการณ์เหล่านี้ทำให้ลุงบุญมีสามารถระลึกชาติได้ และติดตามไปยังสถานที่ที่เกี่ยวของกับอดีตชาติของเขา ก่อนจะเสียชีวิตไปพร้อม ๆ กับการสนทนาถึงเรื่องราวของชีวิตตนเอง ที่กินเวลานานหลายร้อยปี
อภิชาติพงศ์ได้แรงบันดาลใจในการสร้างสรรค์ผลงานนี้จากแหล่งใหญ่สองแหล่ง คือ การเดินทางไปยังตำบลนาบัว อำเภอธาตุพนม จังหวัดนครพนม แล้วได้พบกับชาวบ้านที่ผ่านช่วงเวลาที่รัฐบาลทำสงครามต่อต้านคอมมิวนิสต์ ในช่วง พ.ศ. 2508- พ.ศ. 2525[ต้องการอ้างอิง] และหนังสือ คน ระลึกชาติ เขียนโดยพระศรีปริยัติเวที แห่งวัดป่าแสงอรุณ จังหวัดขอนแก่น[3] มีเนื้อหาเกี่ยวกับประสบการณ์การระลึกชาติของนายบุญมี ผู้เคยเกิดเป็นนายพราน เป็นเปรต เป็นควายเป็นวัว ก่อนจะมาเกิดเป็นคนในภพชาตินี้ ซึ่งขณะที่เขาได้อ่านหนังสือเรื่องนี้บุญมีได้เสียชีวิตไปแล้ว โดยหนังสือเรื่องนี้เป็นแรงบันดาลใจในการเขียนบทให้เขาเรื่องเนื้อหาและโครง สร้าง ส่วนเนื้อเรื่องในภาพยนตร์เขากล่าวว่าเป็นเรื่องที่เขาคิดขึ้นเอง[4][5] โดยเนื้อเรื่องและการออกแบบงานสร้างเขาได้รับแรงบันดาลใจจากรายการโทรทัศน์ สมัยก่อนและการ์ตูนไทย ที่มักมีเนื้อเรื่องง่าย ๆ และเต็มไปด้วยองค์ประกอบเรื่องที่เหนือธรรมชาติ[5]
ทุนสร้างภาพยนตร์มาจากบริษัทของอภิชาติพงศ์ ชื่อ คิกเดอะแมชชีน, บริษัทอิลลูมิเนชันส์ของอังกฤษ, บริษัทแอนนาแซนเดอร์สของฝรั่งเศส, บริษัทแมตช์แฟกทอรีและ Geissendörfer Film- und Fernsehproduktion ของเยอรมนี และบริษัทเอ็ดดีเซตาของสเปน[6] ยังได้รับทุนสนับสนุน 3.5 ล้านบาทจากกระทรวงวัฒนธรรม ประเทศไทย[7]
ภาพยนตร์ถ่ายทำในระหว่างเดือนตุลาคม พ.ศ. 2552 ถึง กุมภาพันธ์ 2553 ที่มีอุปสรรคเรื่องภูมิอากาศ ทั้งที่กรุงเทพและในภาคอีสานของไทย[6] โดยใช้ฟิล์ม 16 มม. ในการถ่ายเนื่องจากเหตุผลด้านทุนและต้องการให้ดูเหมือนภาพยนตร์ไทยสมัยก่อน มากกว่า[7]
ลุงบุญมีระลึกชาติ เป็นส่วนเติมเต็มสุดท้ายของผลงานชุด "Primitive" ของอภิชาติพงศ์ ซึ่งนอกเหนือจากภาพยนตร์เรื่องนี้แล้วยังประกอบด้วยงานศิลปะแบบจัดวาง (Installation Arts) ที่จัดแสดงในพิพิธภัณฑ์ศิลปะตามเมืองใหญ่ทั่วโลก เช่น มูลนิธิเพื่อศิลปะและการสร้างสรรค์แห่งเมืองลิเวอร์พูล ประเทศอังกฤษ พิพิธภัณฑ์ศิลปะสมัยใหม่ปารีส ประเทศฝรั่งเศส เป็นต้น รวมถึงภาพยนตร์สั้นอีก 2 เรื่อง ได้แก่ "จดหมายถึงลุงบุญมี" และ "ผีนาบัว"[8]
ภาพยนตร์ออกฉายรอบปฐมทัศน์ ในฐานะภาพยนตร์เข้าประกวดในเทศกาลภาพยนตร์เมืองคานส์เมื่อวัน ที่ 21 พฤษภาคม พ.ศ. 2553[9] ส่วนการออกฉายในโรงภาพยนตร์ในประเทศไทยยังไม่แน่ชัด อภิชาติพงศ์กล่าวว่า "ทุกครั้งที่ออกหนังมา ผมต้องใช้เงินในการประชาสัมพันธ์ ซึ่งผมไม่แน่ใจว่ามันคุ้มค่าหรือไม่ แต่ผมก็อยากให้ออกฉายที่บ้านเกิดของผม"[10]
ภาพยนตร์ได้รับรางวัลปาล์มทองคำ จากงานเทศกาลภาพยนตร์เมืองคานส์ครั้งที่ 63 นับเป็นภาพยนตร์จากภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เรื่องแรกที่ ได้รับรางวัลนี้ คณะกรรมการผู้ตัดสินรางวัลปาล์มทองคำ อย่างทิม เบอร์ตัน และเบนิซิโอ เดล โทโร่ ให้ความเห็นเกี่ยวกับภาพยนตร์ว่า เป็นภาพยนตร์ที่ทำให้พวกเขาเข้าใจประเด็นเรื่องความตายจากมุมมองใหม่แบบ “ตะวันออก”[11]
ก้อง ฤทธิ์ดี นักวิจารณ์ภาพยนตร์แห่งหนังสือพิมพ์บางกอกโพสต์ ผู้เข้าร่วมงานแจกรางวัลปาล์มทองคำเช่นกัน ให้ความเห็นว่า "มันโดดเด่นและแตกต่างจาก เรื่องอื่นจริง คือ หนังดีที่นี่ก็เป็นหนังที่ทำดี แต่หนังของเจ้ยเป็นหนังที่เปิดโลกทัศน์ภาพยนตร์และไม่ยึดติดในกรอบเดิม ๆ" และยังพูดถึงการได้รับรางวัลของภาพยนตร์เรื่องนี้ว่า ตัวเขารวมถึงนักวิจารณ์จาก สื่อต่างประเทศรายอื่นๆยัง ใช้คำว่า unexpected winner หรือ เป็นม้ามืด
*ขอบคุณเนื้อหาจาก th.wikipedia
สงครามครูเสด เป็นสงครามศาสนาระหว่างชาวคริสต์จากยุโรป และ ชาวมุสลิม เนื่องจากชาวคริสต์ต้องการยึดครองดินแดนศักดิ์สิทธิ์ และ เมืองคอนสแตนติโนเปิลหรือเมืองอิสตันบูล ประเทศตุรกีในปัจจุบัน ซึ่งแต่เดิมเป็นของอาณาจักรโรมอยู่ก่อนแล้วที่กองทัพอิสลามจะเข้ามาที่นี้
ในตอนเริ่มสงครามนั้นชาวมุสลิมได้เข้าปกครองดินแดนศักดิ์สิทธิ์อยู่ เนื่องมาจากโซยุเตริก(น่าจะชื่อคอลีฟหะหุในภาษาอิสลาม) ผู้นำโลกอิสลามได้เข้ายึดครองดินแดนแห่งนี้ ซึ่งเป็นยุคของคอลีฟะหฺอุมัร (634-44) ซึ่งเป็นผู้นำทางศาสนาและการเมืองของอาณาจักรอิสลามที่ เป็นสถานที่สำคัญของสามศาสนาได้แก่ อิสลาม ยูได และ คริสต์ ในปัจจุบันดินแดนแห่งนี้คือ ประเทศอิสราเอล
ชาวมุสลิมครอบครอง เมืองนาซาเรธ เบธเลเฮม และเมืองสำคัญทางศาสนาอีกหลายเมืองโดย เฉพาะการครอบครองเยรูซาเร็มที่เชื่อกันว่าศูนย์กลางของโลกใบนี้ ซึ่งเยรูซาเร็มเมื่อดูในแผ่นที่โลกจะอยู่ใจกลางโลกพอดี และเยรูซาเร็มนี้ได้ชื่อว่าพระเจ้าได้มอบที่นี้ไว้ให้มนุษย์ได้พบ พระองค์(ถูกบันทึกในคำภีร์ทางศาสนาของยิว คริสต์ และอิสลาม) ที่พระเจ้าให้กษัตริย์โซโลมอนได้สร้างมหาวิหารเพื่อนมัสการพระเจ้าอย่างยิ่ง ใหญ่บนแผ่นดินที่ได้เชื่อกันว่ายาโคบหรือJacob ต้นตระกูลยิวได้นอนลงที่นี้และนิมิตนั้นคือ เห็นบันไดสวรรค์และการขึ้นลงของทูตสวรรค์
ซึ่งทุกวันนี้มหาวิหารได้ถูกทำลายไปในยุคของโรมปีค.ศ70 และต่อมาอิสลามได้สร้างสุหร่าอัลซัลซอร์บนมหาวิหารเดิมของโซโลมอนหรือของชาว ยิว และข้อพิพากนี้ยังหาข้อสรุปไม่ได้จนกลายเป็นปัญหาภูมิภาคตะวันออกกลาง และชาวยิวทุกวันนี้ก็พยายามทุกทางที่จะสร้างมหาวิหารนี้ได้อีกครั้งเพราะตน เองไม่มีสถานที่นมัสการเพราะที่เหลือไว้คือกำแพงด้านตะวันตกของมหาวิหาร หรือที่เรียกว่ากำแพงร้องไห้ ซึ่งชาวคริสเตียนกลุ่มโปเตสแตนท์เชื่อกันว่าถ้าหากชาวยิวจะรื้อวิหารของ มุสลิมอัลซัลซอล์ และสร้างมหาวิหารได้อีกครั้ง วันนั้นเยซูคริสต์จะเสด็จกลับมาเป็นครั้งที่สอง และจะเป็นวันสิ้นโลกใบนี้
บทสรุปของสงครามครูเสดในครั้งนั้นคือกองทัพมุสลิมสามารถยึดดินแดน ศักดิ์สิทธิ์คืนจากชาวคริสต์ได้ และขับไล่ผู้รุกรานต่างชาติต่างศาสนาในดินแดนออกไป ซึ่งยังคงดำรงชาติมุสลิมสืบต่อมาจนถึงทุกวันนี้
*ขอบคุณเนื้อหาจาก th.wikipedia
ค่ายพักแรม YMCA อ.บ้านฉาง จ.ระยอง มีเนื้อที่ประมาณ 100 ไร่เศษ ติดภูเขา และไม่ไกลจากทะเล (หาดพยูน หาดพลา หาดน้ำริน) มีต้นไม้ใหญ่ร่มรื่น ภายในค่ายมีสนามฟุตบอล สนามบาสเกตบอล ขนาดมาตรฐาน ห้องประชุม บ้านพัก 11 หลัง เรือนพยาบาลและมีฐานกิจกรรมกว่า 10 ฐานที่พร้อมให้บริการ สามารถจัดค่าย จัดประชุม จัดอบรมสัมมนากลุ่มเล็ก ตั้งแต่ 30 คน หรือกลุ่มใหญ่ 200 คนขึ้นไป มีบริการอาหารพร้อม
จัดกิจกรรมต่างๆ ตลอดเวลารุ่นละ 6 วัน 5 คืน เช่น ฟุตบอล บาสเกตบอล ลอดลวดหนาม รอก โรยตัว ปีนกำแพง พายเรือ ยิงธนู ขาตั้งสู้ กางเต้นท์ ยิงปืน ทำอาหาร เดินทางไกล ธรรมชาติศึกษา จักรยาน ศิลปะประดิษฐ์ พักแรมนอกค่าย แคมป์ไฟ มหกรรมกีฬา
มุ่งเน้นที่การพัฒนาทั้ง ด้านร่างกาย จิตใจ อารมณ์ สังคม สติปัญญา และ จิตวิญญาณ ตลอดจนกิจกรรมอื่น ๆ อีกมากมาย โดยจะเปิดให้เยาวชนเข้าค่ายพักแรมในทุกๆ เดือนตุลาคม และ เมษายน ของทุกปี
*ขอบคุณเนื้อหาจาก th.wikipedia